วิธีการเลือกกระดาษที่เหมาะสมสำหรับการออกแบบการพิมพ์

3 ก.ค. 2025 | บทความ

เมื่อออกแบบชิ้นงานด้านการตลาด การเลือกกระดาษที่เหมาะสมมีความสำคัญเช่นเดียวกับการเลือกตัวพิมพ์ที่เหมาะสม เพราะการเลือกกระดาษส่งผลกระทบต่อผลิตภัณฑ์และต้นทุนการผลิต

เลือกประเภทกระดาษที่ใช่ สำหรับบรรจุภัณฑ์ของคุณ การเลือกกระดาษที่เหมาะสมไม่เพียงแต่ส่งผลต่อความสวยงามของงานพิมพ์เท่านั้น แต่ยังมีผลต่อความรู้สึกของผู้ใช้งาน ความแข็งแรงของบรรจุภัณฑ์ และภาพลักษณ์ของแบรนด์โดยรวม เราขอแนะนำลักษณะและคุณสมบัติของกระดาษแต่ละประเภทที่นิยมใช้ในการทำบรรจุภัณฑ์ ดังนี้:


1. กระดาษปอนด์ (Bond Paper)

  • ลักษณะ: พื้นผิวเรียบด้าน ไม่มีการเคลือบ
  • คุณสมบัติ: เหมาะสำหรับงานพิมพ์ข้อความ สีไม่สดมากนัก ซึมหมึกได้ดี
  • การใช้งาน: นิยมใช้กับเอกสารทั่วไป ห่อสินค้า งานซองกระดาษทั่วไป
  • ข้อดี: ราคาประหยัด น้ำหนักเบา รีไซเคิลได้ง่าย

2. กระดาษคราฟท์น้ำตาล (Brown Kraft Paper)

  • ลักษณะ: ผิวด้าน สีออกน้ำตาลธรรมชาติ สัมผัสหยาบเล็กน้อย
  • คุณสมบัติ: แข็งแรง ทนทาน ฉีกขาดยาก เหมาะกับงานที่ต้องการความเป็นธรรมชาติ
  • การใช้งาน: ถุงช้อปปิ้ง ถุงอาหาร กล่องสินค้า หรือแบรนด์แนวรักษ์โลก
  • ข้อดี: ราคาประหยัด เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ดูเรียบง่ายแต่มีเอกลักษณ์

3. กระดาษคราฟท์ขาว (White Kraft Paper)

  • ลักษณะ: คล้ายกระดาษคราฟท์น้ำตาล แต่ผ่านการฟอกให้เป็นสีขาว
  • คุณสมบัติ: แข็งแรงเหมือนคราฟท์น้ำตาล มีความเหนียวและทนทานเป็นหลัก และให้ลุคที่ดูสะอาด ทันสมัยมากขึ้น
  • การใช้งาน: ถุงกระดาษพรีเมียม สินค้าสุขภาพ หรือสินค้าแนวมินิมอล
  • ข้อดี: ผสมผสานระหว่างความเป็นธรรมชาติกับความหรูหรา

4. กระดาษอาร์ต (Art Paper)

  • ลักษณะ: ผิวเรียบเนียน มีทั้งแบบเคลือบเงา (Glossy) และเคลือบด้าน (Matt)
  • คุณสมบัติ: พิมพ์สีได้คมชัด สีสด รายละเอียดชัดเจน
  • การใช้งาน: กล่องสินค้า บรรจุภัณฑ์หรูหรา โบรชัวร์ แฟชั่น ของขวัญ
  • ข้อดี: เพิ่มมูลค่าให้กับแบรนด์ พิมพ์กราฟิกได้คุณภาพสูง

5. กระดาษกล่องแป้ง (Boxboard / Duplex Board)

  • ลักษณะ: ผิวหน้าเรียบ (มักเป็นสีขาว) ด้านหลังกระดาษมีสีเทาหรือสีขาว ขึ้นอยู่กับประเภท
  • คุณสมบัติ: มีความหนา แข็งแรง เหมาะกับงานขึ้นรูปกล่อง
  • การใช้งาน: กล่องขนม กล่องเครื่องสำอาง กล่องอาหารแห้ง
  • ข้อดี: รองรับน้ำหนักได้ดี ราคาย่อมเยา เหมาะกับงานผลิตจำนวนมาก

6. กระดาษพิเศษอื่น (Specialty Papers)

  • ลักษณะ: รวมกระดาษหลากหลายชนิด เช่น กระดาษลายเส้น กระดาษเมทัลลิก กระดาษไข กระดาษรีไซเคิล ฯลฯ
  • คุณสมบัติ: มีลักษณะเฉพาะ เช่น เนื้อสัมผัสพิเศษ สีเมทัลลิก หรือโปร่งแสง
  • การใช้งาน: งานออกแบบเฉพาะทาง บรรจุภัณฑ์แบรนด์หรู การ์ดพรีเมียม หรือสินค้าเฉพาะกลุ่ม
  • ข้อดี: ช่วยสร้างความแตกต่างให้แบรนด์ ดูโดดเด่นและมีเอกลักษณ์

น้ำหนัก และความหนาของกระดาษ

น้ำหนักกับความหนาของกระดาษจะเป็นเรื่องที่สัมพันธ์กัน ส่วนมาก กระดาษที่มีน้ำหนักมากมักจะมีความหนากว่ากระดาษที่มีน้ำหนักเบากว่า ดังนั้น น้ำหนักของกระดาษจะเป็นสิ่งแรก ๆ ที่คุณต้องดู และตัดสินใจ

สำหรับน้ำหนักของกระดาษจะมีน้ำหนักเป็นปอนด์ แต่โดยทั่วไปใช้หน่วยเป็นแกรม  แกรม (GSM) คือ หน่วยวัดน้ำหนักของกระดาษต่อหนึ่งตารางเมตร(Grams per Square Meter) บางทีที่ซื้อกระดาษ Plain Paper จะเห็นหน้ากล่องระบุน้ำหนัก 70 หรือ 80 แกรม กระดาษที่ผลิตออกมาเพื่อใช้งานในลักษณะที่แตกต่างกันจะมีน้ำหนักเป็นเกณฑ์ในการแบ่งชนิดได้เหมือนกัน

โดยกระดาษสำหรับพิมพ์เอกสารแบบธรรมดาสามัญทั่วไป หรือที่รู้จักกันว่า Plain Paper จะมีน้ำหนัก 70 ถึง 80 แกรม ซึ่งมีน้ำหนัก และความหนาไม่มาก เหมาะสำหรับพิมพ์เอกสารที่เน้นตัวอักษรเป็นส่วนใหญ่  ในขณะที่กระดาษสำหรับพิมพ์ภาพกราฟิก หรือ Photo Paper จะมีขนาดอยู่ในช่วงตั้งแต่ 90 ถึง 270 แกรม ขึ้นไป กระดาษที่มีน้ำหนักมาก ส่วนใหญ่จะเป็นกระดาษที่มีความหนาตั้งแต่ปานกลางถึงหนามาก เพราะฉะนั้น ในการเลือกกระดาษแต่ละครั้ง ต้องพิจารณาดูกันให้ดี เพราะนอกจากน้ำหนักที่ต่างกันและความหนาบางแยกออกไปอีกหลายรุ่น อยู่ที่ว่าจะเลือกไปใช้สำหรับพิมพ์งานประเภทไหน และวัตถุประสงค์ของผลิตภัณฑ์กระดาษนั้นคืออะไร

ความทึบแสงและความสว่างของกระดาษ

ความทึบ (Opacity) หมายถึงปริมาณของแสงที่สามารถผ่านกระดาษได้ นอกจากนี้ยังเรียกว่า Show-Through เนื่องจากอธิบายถึงระดับการมองเห็นตัวพิมพ์ผ่านด้านหลังของแผ่นเมื่อได้พลิกแผ่นพิมพ์นั้น  ความทึบ 100 เปอร์เซ็นต์ หมายความว่าไม่มีแสงผ่านได้เลย  ค่าเปอร์เซ็นต์ที่ต่ำ แปลว่าแสงจะผ่านได้มากขึ้น ความทึบของกระดาษมีผลจากน้ำหนัก ความขาว และ วิธีการเคลือบของกระดาษ

ความสว่าง (Brightness) จะสะท้อนให้เห็นแสง ซึ่งโดยทั่วไปจะแสดงในระดับ 1 ถึง 100 (โดยมี 100 เป็นค่าความสว่างมากที่สุด) กระดาษส่วนใหญ่สามารถสะท้อนได้ 60 ถึง 90 เปอร์เซ็นต์ของแสง ความสว่างมีผลต่อความคมชัด ความแตกต่างของสี และการมองเห็นของสีหมึกพิมพ์

เทคนิคหลังการพิมพ์: เคลือบ หรือ ไม่เคลือบกระดาษ

กระดาษเคลือบผิวจะถูกฉาบไว้ด้วยสารเคลือบปิดหลุมร่องผิว การเคลือบนี้จะปกปิดหลุมเล็ก ๆ ระหว่างเส้นใยกระดาษให้พื้นผิวเรียบ จึงทำให้งานพิมพ์คมชัดขึ้น โดยเฉพาะสำหรับงานรูปภาพ และงานตัวพิมพ์ที่ต้องการมีความมันวาว และเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยให้กระดาษมีความเหนียว ทนทานมากขึ้น และป้องกันความชื้นได้ระดับนึง ตัวเลือกของการเคลือบผิวกระดาษมีดังนี้

  • เคลือบเงา (Gloss) – กระดาษเคลือบที่มีความเงา อย่างปกนิตยสาร.
  • เคลือบด้าน (Matte) – กระดาษเคลือบด้วยผิวที่ไม่เป็นเงา จะดูแบน ทึบแสง และให้ความรู้สึกหนัก

กระดาษไม่เคลือบผิวไม่ได้มีสารเคลือบผิว ดังนั้นกระดาษไม่เคลือบผิวจึงรู้สึกหยาบกว่า กระดาษประเภทนี้ที่พบเห็นบ่อยคือ หนังสือพิมพ์ หรือกระดาษทั่วไปที่ขายตามร้านเครื่องเขียน  กระดาษประเภทนี้เหมาะที่ไว้ใช้เขียน จึงนิยมทำหัวจดหมาย หรือซองจดหมาย และยังเหมาะสมกับโปรเจคที่มีตัวพิมพ์หนังสือมาก อย่างเช่น หนังสือ พ้อกเก็ตบุ๊ค เป็นต้น

ปรึกษากับโรงพิมพ์ผู้มีความชำนาญ

ตอนนี้คุณรู้แล้วว่ามีหลายปัจจัยในการเลือกกระดาษที่เหมาะสมสําหรับงานด้านสิ่งพิมพ์ ดังนั้นเป็นเรื่องสำคัญในอันดับต้น ๆที่ จะเลือกโรงพิมพ์ที่มีประสบการณ์ ความชำนาญในธุรกิจการพิมพ์ เพื่อให้คุณได้มั่นใจว่าชิ้นงานพิมพ์ของโปรเจคคุณนั้นจะให้คุณภาพ และคุณค่าสูงสุด